"ไซ่ง่อน" เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นปารีสตะวันออกที่เรารับรู้กันมันมีอะไรบ้างนะ
ในอดีต ที่นี่เป็นเมืองที่มีความสำคัญมานานหลายยุคสมัย แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือเมื่อฝรั่งเศสได้เข้ามายึดครองเมืองในแถบนี้ ทำให้ไซ่ง่อนเป็นเมืองที่มีทั้งความงามอย่างสาวชาวบ้านที่เคยได้กลายไปอยู่ในสังคมชั้นสูงของตะวันตก และถูกฝรั่งเข้ามายุ่งให้ต้องทะเลาะเบาะแว้งจนต้องแตกแยกกับครอบครัว กว่าจะมาลงเอยกันด้วยดีในหลายสิบปีต่อมา
อินโทรซะเวอร์วัง...
เอาล่ะ! มาถึงแล้ว สนามบินของปารีสตะวันออก
มาถึงไซ่ง่อนตอนค่ำสิ่งแรกที่พึงกระทำคือเก็บกระเป๋าแล้วออกไปหาของกินกันก่อน
ที่นี่มีอาหารให้กินหลากหลายอย่าง เดินวนรอบนึงก็เลือกอาหารเวียดนามมาชิมลางดูกันก่อน
เสร็จแล้วก็ไปนั่งร้านแถวที่พักดูบรรยากาศเมืองแกล้มเบียร์ไปพลางๆ
Saigon Notre Dame
โบสถ์ไซ่ง่อนนอเตอรดามตั้งอยู่ใจกลางเมือง เค้าว่าเป็นโบสถ์คริสต์ที่สวยที่สุดในเวียดนาม และน่าจะสวยที่สุดในบรรดาประเทศที่อยู่ในอินโดจีนด้วยกัน หอคอยคู่แห่งนี้เป็นภาพที่ติดตาและเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของไซ่ง่อน
อาคารสร้างขึ้นโดยชาวฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ.1877 โดยชาวฝรั่งเศสที่มาอาศัยอยู่ที่นี่ ลักษณะรูปแบบก็พยามจะจำลองโบสถ์นอเตรอดามที่กรุงปารีสมา ซึ่งก็ไม่เหมือนหรอกได้ประมาณนึง แต่ก็เป็นโบสถ์ที่มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง วัสดุก่อสร้างที่ใช้ก็นำเข้าจากฝรั่งเศสเชียวนะ ไม่ว่าจะเป็นอิฐสีแดงที่นำเข้ามาจากเมืองมาร์เซลล์ ที่มีคุณสมบัติทนทานและตะใคร่ไม่จับ รวมถึงเหล็ก และปูนซีเมนต์ด้วย
ด้านหน้ามีรูปปั้นพระแม่มารีตั้งอยู่ ซึ่งเดิมตั้งอยู่ที่กรุงโรมและได้ย้ายมาตั้งที่นี่เมื่อปี ค.ศ.1959 ทำให้องค์ประกอบเมื่อมองไปดู Emotional ขึ้นเยอะเลย
น่าเสียดายเป็นอย่างมากที่ตอนนี้อยู่ในช่วงบูรณะ ทำให้ไม่สามารถดูบรรยากาศด้านข้างได้ โธ่!! เศร้า หากใครอยากเข้าไปชมและร่วมสวดมนต์ก็เชิญได้ตามป้ายบอกเวลาที่ลงไว้นะครับ...
Saigon Central Post Office
สถานที่ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาปัตยกรรมตะวันตกสไตล์ Renaissance ที่สวยที่สุดในเวียดนาม ก่อสร้างช่วงปี 1886-1891
ก่อนหน้านี้มักจะให้เครดิต Gustave Eiffel ผู้ออกแบบหอไอเฟลสัญลักษณ์ของเมืองปารีสเป็นผู้ออกแบบอาคารหลังนี้ แต่ภายหลังได้สรุปแล้วว่าผู้ออกแบบคือ Alfred Foulhoux อย่างว่าแหละ ใช้ชื่อคนออกแบบที่มีชื่อเสียงกว่าย่อมจะดูดีกว่า แต่ประวัติศาสตร์ก็คือเรื่องที่ต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์กันไป
ตัวอาคารดูให้อารมณ์เหมือนสถานีรถไฟมาก อาคารไปรษณีย์กลางของหลายเมือง (รวมถึงประเทศไทย) จะเห็นได้ว่าค่อนข้างใหญ่มาก สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ไปรษณีย์ที่มากมายในอดีตสมัยยังไม่มี facebook line instagram
เข้าไปด้านในจะเห็นทั้งชาวเวียดนามที่มาส่งไปรษณีย์และนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด ทำให้รู้สึกว่าอาคารหลังนี้ยังปฏิบัติหน้าของมันเองอย่างปกติแม้เวลาจะผ่านมานานร้อยกว่าปีแล้ว บนผนังทั้งสองด้านจะพบกับภาพวาดแผนที่ที่เขียนมาตั้งแต่อาคารเพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน แผนที่ด้านซ้ายเป็นแผนที่อาณาเขตไปถึงกัมพูชา ชื่อภาพ “Lignes teleraphiques du Sud Vietnam et du Cambodge 1936”ส่วนทางด้านขวาเป็นแผนที่ภายในเมืองเขียนไว้ว่า “Saigon et ses environs 1892” ดูแผนที่ถนนแบบตารางในเมืองแล้วคงได้รับการวางผังจากฝรั่งเศสมาตั้งแต่สมัยนั้น ยืนดูลายเส้นโบราณๆคลาสสิคแบบนี้เพลินตามากครับ
แต่หลายสิ่งก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามโลกตามยุคสมัย ตู้โทรศัพท์ไม้คลาสสิคเดิมก็ต้องกลายเป็นตู้กดเงินสด พื้นที่บางส่วนก็ต้องกลายเป็นพื้นที่ขายของที่ระลึกไป
มุมที่เราจะเห็นบ่อยๆคือภาพโมเสกรูปลุงโฮติดอยู่กลางโถงโค้งด้านในสุดของโถง แสดงถึงความรู้สึกเคารพต่อท่านของคนเวียดนาม เป็นภาพที่ดูมีชีวิตอย่างน่าประหลาด
บรรยากาศของที่นี่มันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะต้องเขียนไปรษณีย์บัตรส่งหาใครสักคน เพื่อที่จะให้สถานที่แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นตัวส่งสารของผู้คนต่อไป แม้ว่ามีช่องทางอื่นที่เร็วกว่า แต่เชื่อว่าการที่ได้อ่านลายมือใครสักคนจากแดนไกลแม้ว่าเป็นคำเรียบง่ายธรรมดา มันน่าเป็นความรู้สึกที่พิเศษกว่าอ่านคำรักพรรณนาทางไลน์แน่นอน ช่องหมายเลข 2 รอคุณอยู่ ลองดูครับ
ค่าส่งไปรษณียบัตร 10,500 ด่อง ประมาณ 15 บาทไทย ส่งเป็นที่ระลึกถึงใครสักคน เชื่อผมเถอะว่ามันคุ้มค่าแน่นอน
Art Deco Apartment
นอกจาก Cafe Apartment ที่ดังอยู่กลางลานแล้วยังมีอีกอาคารหนึ่งที่น่าสนใจอยู่ตรงหัวมุม ถนน Ly Tu Trong ตัดกับ ถนน Dong Khoi คือชื่ออาคารอะไรไม่มี ไม่สามารถบอกนามได้ เลยเรียกมันว่า Art Deco Apartment ละกัน ตามรูปแบบการตกแต่งภายใน
ทางเข้าอาคารดูมืดๆ มีป้ายร้านรวงอยู่ ด้านล่างจะเป็นที่ขายงานศิลปะ มีคนนั่งเพนท์รูปอยู่
แต่ละชั้นก็มีร้านค้าอยู่หลากหลาย ดูเป็นร้านวัยรุ่นๆหน่อย และมีร้านกาฟเก๋ๆอยู่หลายร้านเลย
การปรับปรุงอาคารนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรมากนัก พื้นที่ส่วนกลางสีถลอกกระเบื้องร่อนยังไงก็ปล่อยอย่างนั้น อาศัยการตกแต่งของแต่ละร้านช่วยสร้างบรรยากาศไป
ชอบที่สุดของที่นี่คือ บันไดและลิฟท์ที่มีการตกแต่งแบบอาร์ตเดโคที่ดูออริจินัลมากๆ
เดินขึ้นไปชั้นบนๆเหมือนจะมีคนอาศัยอยู่ เห็นอาม่ายืนคุยอยู่กับใครไม่รู้ตั้งนาน ตอนแรกก็รู้สึกว่าอาม่าแกโพสท์ท่านานดีแฮะ แต่ดูไปดูมาเหมือนมีใครสักคนยืนอยู่ด้วยแต่เรามองไม่เห็น !!!
แล้วก็รีบลงมากันดีกว่า ข่าวว่าอาคารหลังนี้มีโครงการที่จะถูกรื้อถอนในอีกไม่นานนี้
ลองเข้าไปสัมผัสบรรยากาศคาเฟ่แบบดิบๆกันดูนะครับ
หิวละ ไปหาอะไรกินดีกว่า ระหว่างที่เดินไปก็ชมบรรยากาศร้านค้า คาเฟ่ที่แนะนำกันในอินเตอร์เนตหลายร้าน
สุดท้ายมาจบมื้อกลางวันที่นี่ The Old Compass Cafe
เป็นคาเฟ่ที่ทางเข้าดูลึกลับนิดนึง ต้องเดินเข้าซอยมาจะพบกับป้ายไฟ มีประตูเล็กๆเปิดต้อนรับอยู่
เข้ามาที่นี่บรรยากาศเงียบสงบมาก ให้ความรู้สึกผ่อนคลายจากความวุ่นวายภายนอก
ด้วยความเป็นอาคารเก่าเลยทำให้ตกแต่งเพียงเล็กน้อยก็สวยงามแล้ว
ที่นี่เป็นคาเฟ่ที่มีทั้งอาหารและเครื่องดื่มไว้บริการ ได้ทั้งจิบเครื่องดื่มเบาๆหรือเอาให้อยู่ท้อง
จากนั้นก็ไปศึกษาวัฒนธรรมกันต่อที่
Museum of Vietnamese History
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติเวียดนาม ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับสวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์ ด้านหน้ามีวัดเล็กๆ ชื่อHung King's Temple เป็นวัดที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ระลึกถึงทหารเวียดนามที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่สวยและเงียบสงบอย่างน่าประหลาดใจ
ตัวสถาปัตยกรรมของพิพิธภัณฑ์สร้างโดยฝรั่งเศสเมื่อปี 1926 เป็นตึกทรงยุโรปที่ดูจีนๆหน่อย ดูสวยงามดี มีลักษณะเป็นอาคารแบบมีคอร์ทตรงกลาง
เมื่อเสียเงินกันไปคนละ 3หมื่นแล้วก็ได้เข้าไปชมด้านใน แบ่งเป็นห้องๆ โดยห้องแรกก็เป็นเรื่องราวยุคก่อนประวัติศาสตร์ของพื้นที่แถบนี้ ทั้งเรื่องจริง ทั้งอิงนิยายคละเคล้ากันไป
ห้องต่อมาคือไฮไลท์ของที่นี่ คือห้องที่จัดแสดงศิลปวัตถุยุคจามปา ที่ดูได้รับการปรับปรุงใหม่ (อยู่ห้องเดียว) งานที่จัดแสดงที่นี่สวยงามมากเลยทีเดียว หลายๆชิ้นมีความสมบูรณ์แบบไม่น่าเชื่อ ถ้าอยู่ในพิพิธภัณฑ์สวยๆคงจะดูดีขึ้นอีกหลายเท่าตัว
ห้องจัดแสดงศิลปะเขมร มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ยอมรับว่าทับหลังที่โชว์อยู่นั้นมันสวยสุดยอดจริงๆ
หลังจากห้องนี้ไปก็เป็นห้องจัดแสดงเครื่องแต่งกายพื้นเมืองของชนกลุ่มน้อยเผ่าต่างๆ และข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน สลับกับเล่าเรื่องราวต่างๆขึ้นตามยุคสมัย ก็ดูเอาเพลินๆไม่ได้พีคอะไรมาก และมีห้องนิทรรศการแยกเป็นเรื่อง Buddhist Statues of Asian Countries
โดยรวมการจัดแสดงก็อาจจะไม่ได้มีอะไรมากนัก (ด้วยการจัดแบบพิพิธภัณฑ์สมัยเก่า) แต่ถ้าคุณเป็นคนชอบศิลปวัฒนธรรม ด้วยเงิน 45 บาท กับเวลาสัก 45 นาที ได้ชมสถาปัตยกรรม และงานศิลปะโบราณสวยๆก็แสนจะคุ้มนะ
จัตุรัสโฮจิมินห์ (Tran Nguyen Hai Statue)
จัตุรัสโฮจิมินห์เป็นลานโล่งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ซึ่งจุดนี้จะมีรูปปั้นของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์กับเด็กๆ โดยมีแบคกราวน์เป็นศาลาว่าการเมือง แต่!!! ไฉนไปถึงจึงกลายเป็นแบบนี้...
ไปที่ไหนซ่อมที่นั่น ตูละหน่าย ช่างมันละกัน ลานนี้เป็นจุดที่คนมาเดินเล่นชมเมืองกันเยอะตอนค่ำๆ สองฝั่งถนนก็เป็นตึกสูงประดับไฟกันสวยงาม เป็นย่านการค้าที่สำคัญ
เดินมาเรื่อยๆก็จะเจอ Cafe Apartment ที่ฮิตกันในช่วงหลัง ใครมาก็ต้องมาถ่ายรูปกันที่นี่
มาถึงแล้วก็ขอเดินเข้าไปชมหน่อย ข้างในก็เป็นทางเดินเหมือนอพาร์ทเมนต์เก่าๆทั่วไป มีลิฟท์ให้ขึ้นแต่เก็บเงินคนละ 3,000 ด่อง ก็ไม่ได้มากมายแต่เดินดูบรรยากาศมันส์กว่า
มีร้านสวยๆงามๆหลายร้าน แต่ว่าเวลานี้มันไม่เหมาะกับการกินกาแฟแล้ว เลยไม่ได้นั่งร้านไหน
ได้แต่เดินหามุมถ่ายรูปให้คนที่เมืองไทยหมั่นไส้เล่นๆไป
แล้วก็มาฝากท้องมื้อเย็นไว้ที่ร้านนี้ Am Phu Quan Com เป็นร้านที่ตกแต่งสวยงาม ดึงดูดให้เข้าไปลองชิมเฝอสักชามดู
มีเฝอให้เลือกหลายแบบจากหลายภูมิภาค รสชาติดี ราคาไม่แพงครับ
อิ่มแล้วก็ขอตลุยราตรีหน่อย ยามค่ำคืนมอเตอร์ไซค์ก็เหมือนจะยิ่งเยอะ ระหว่างทางเดินก็จะพบกับมอเตอร์ไซค์จำนวนมาก